ในที่สุด เอ๋ก็ทำสำเร็จ สาวๆ รีบปรึกษาด่วน
Happy Big family
เอ่อ! น่าทานทุกอย่างเลย ถ่ายรูปนี้มาแกล้งกันใช่ไหม ?
รูปชุดที่สอง เป็นรูปเจ้าบ่าวและเจ้าสาวป้ายแดง คือ ดาว ปาลิดา และ แฟนหนุ่มคือ ตวาง สาธิต แต่งงานไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ศาลาประชาวาริน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เห็นว่ามีเพื่อนๆ เราที่ศรีสะเกษไปกันด้วย ดาวส่งรูปมาให้เมื่อวันที่ 12 เมษายน นี่เอง รูปน่ารักเชียว
รูปนี้ขอ Full option
รูปชุดสุดท้าย ไม่ได้เป็นงานแต่ง แต่น่ารักเหมือนกันคือ คุณแม่ต่าย โชติมา และพ่อเอ๋ ภาคภูมิ พาคุณลูกสุดเลิฟน้องอองฟอง และ อัลฟ่า ไปถ่ายแบบนอกสถานที่ เพื่อส่งลูกโกอินเตอร์เป็นสุดยอดนางแบบนายแบบ งานนี้พ่อทูนหัว หนึ่ง จิรัฐิติพงษ์ กับ อ.โย สมภพ ทุ่มสุดตัวเป็นช่างภาพและให้กำลังใจกันถึงที่ นอกจากนางแบบนายแบบจะ Born to be แล้วเมื่อบวกฝีมือถ่ายภาพระดับเทพของ หนึ่ง เข้าไป จึงได้ภาพสุดเพอร์เฟ็คมาอวดพวกเรา
ขบวนพาเหรดชาวมาเซโดเนีย ชื่อแปลกดีเนาะ คงอยู่ประเทศในกลุ่มรัซเซียเก่า คนถือป้ายก็หน้ารักซ้า
เอ้ามาดูขบวนไทยเราดีกว่า อยู่ช่วงกลางๆ แต่คึกคัก แฟนตาซี วี้วิ๊ดมาก เพราะมีเสียงกลองยาวดังมาตั้งแต่ไกล ตามด้วยหนุ่มสาวรำกลองยาว สีสันสวยงาม แต่ทีเด็ดเหนือคาดคิดคือ ขบวนแห่พญานาค เวร้ยเพื่อนๆ ~ จีนมันคงงงปนเครียดเนาะ เพราะมังกรมันมีคู่แข่งซะแล้ว แถมเราเชิดเอามันส์ ท่วงท่า pattern ไม่มีทั้งนั้น กูเอามวยวัดเข้าสู้ นักข่าวก็งงด้วย มิหน้ามาทำข่าวกันตรึม กะเอาไปลงข่าวกระหน่ำซ้ำเติมให้คนจีนได้ปวดม้ามได้อีก ดูขบวนจนถึงบ่าย ท้องร้องจ๊อกๆ เลยแวะทานอาหารจนเต็มคราบ ว่าแล้ว ก็ได้เวลาไปดูการจุดพลุที่ริมแม่น้ำยาราแล้ว พวกเราสี่คนชวนกันไปนั่งฝั่ง South bank ตรงสวน Melbourne Botanic Garden สักสามทุ่มกว่าพลุชุดแรกก็โชว์พาว (เล็กๆ) ให้พวกเราได้ชมแล้ว ที่ต้องรอให้ถึงสามสี่ทุ่ม เพราะตอนนี้เป็นหน้าร้อน กว่าฟ้าจะมืดก็สามทุ่มกว่า เที่ยงคืนคนยังเดินชิล ชิล เต็มเมืองอยู่เลยเพราะบรรยากาศเหมือนสองทุ่ม พลุออกแนวน่ารัก ลูกเล็กลูกน้อยรวมๆ กัน จุดอยู่สักครึ่งชั่วโมงก็จบ พวกเราเลยไปนั่งทานกาแฟดูนาดาลตีเทนนิส ที่ถ่ายทอดสดอยู่ Fed Square จนอิ่มอกอิ่มใจแล้วค่อยกลับ
สมัยเด็กดีดลูกแก้วจนเซียน ตอนแก่เลยไว้ลาย เอามาใช้กับการยิงปืน สอยตุ๊กตามาฝากน้องๆ คนละตัวสองตัว
มองไปฝั่ง City เห็นเครื่องเล่นละลานตา
อาหารตา วอลเลย์บอลชายหาด
วิวมุมสุงจากชิงช้าสวรรค์ ซ้ายมือเห็นฝูงคนนั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยารา เพื่อรอดูการจุดพลุ และมี MB Performance Art Centre (อาคารยอดแหลม) และตึกสูงที่สุดในเมลเบิร์นชื่อ Euraga เป็น Background
งานที่สองคือ เทศกาลมุมบา (Mumba Festival) ชื่อภาษาท้องถิ่นชาวอะบอริจินละมั้ง มันคืองานกาชาดขอนแก่นดีๆ นี่เอง แต่เน้นเครื่องเล่นอลังการ หวาดเสียว เยี่ยวแตก เป็นหลัก จัดที่เดิมคือสองฝั่งริมแม่น้ำยารา พวกเรามาตอนเย็นเพราะตื่นกันซะบ่าย ในงานนอกจากมีเครื่องเล่นเยอะแล้วยังมีของกินและดนตรีหลายวง พวกเราเลยได้ไปนั่งหย่อนตูดหลายที่ ฟรีทั้งนั้น ชอบมาก :) พอฟ้ามืดก็ได้เวลาผจญภัยกันแล้ว เริ่มตั้งแต่ซุ้มปาเป้า นั่งชิงช้าสวรรค์ ขี่รถแข่ง และขึ้นเครื่องเล่นเยี่ยวราด เพื่อเอาไอ้ที่ทานไปเมื่อตอนเย็นออกมาให้หมด (พูดเล่นนะไม่กล้าทำจริงหรอกเสียดายของ) ที่เราชอบมากคือขึ้นชิงช้าสวรรค์ ไม่ใช่เพราะแก่แล้วไม่ผาดโผนนะ แต่ชอบดูวิว โห~~~เมลเบิร์นยามกลางคืนนี้สวยจริงๆ ไฟประดับอาคารและสวนทำให้เมืองมีเสน่ห์ไปอีกแบบนึง คือเงียบ สงบ สวยงาม และเป็นผู้ดี เหมือนชมผู้หญิงยังไงก็ไม่รู้ ชิงช้าสวรรค์ที่นี่ให้นั่งหลายรอบดี คุ้มเงินมาก นั่งเสร็จลงมาดูโชว์จุดพลุ กลางแม่น้ำ โห~~ ถ้าไอ้จอร์จมันมาเห็น คงต้องตะโกนว่าพระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันสุดยอดมากซาร่าห์ พวกเราเกิดมาเพื่อดูสิ่งนี้ พลุสวยคนละเรื่องกับวันชาติเลย ตื่นเต้น ลูกเล่นแพรวพราว มีเยอะมาก และจุดเป็นชั่วโมง ช่างต่างกันราว BTS กับ MRT ดูพลุจนน้ำหูน้ำตาแตก หูหนวก ใบ้กินกันไปพักใหญ่ กลับมาถึงบ้านแบบงง งง
เวทีหลักเป็นการประกวดนางนพมาศ หนุ่มๆ ดูตรึม
เวทีที่สอง เวทีมวย ส่วนเวทนี้สาวๆ ตรึมกว่า
ส่วนสุดท้ายเป็นลานอาหาร อันนี้พวกเราชอบมาก ถึงมากที่สุด
เพราะมีขนม อาหารไทยที่หากินยากเพียบเลย แต่แอบแพงนิดนึง
ปิดท้ายด้วยรูปนี้ Reunion ผีจากดินแดนถิ่นราบสูงเหมือนกัน ระหว่างผีตาโขนกับผีทะเล
เปลี่ยนบรรยากาศงานเทศกาลฝรั่งมางานบรรยากาศไทบ้านบ้าง เอ้ย ~~~ แบบไทย ไทยบ้าง คือ งานอาหารและวัฒนธรรมไทย (Thai Food and Festival) จัดที่ Federation Square ตรงข้างริมแม่น้ำเจ้าเดิมนี่แหละ แบ่งงานเป็นสามโซนคือโซนเวทีกลางมีพวกนาฎศิลป์ รำไทยเดิม ไทยประยุกต์ ไฮไลท์ก็คือการประกวดนางนพมาศ เวทีที่สองคือเวทีมวย โห อันนี้เจ๋ง เอามาฝรั่งมาตีกัน แล้วมันตีกันแบบเอาตาย ปากแตก จมูกฉีก เลือดกระจายบนเวทีกันเลย คนเชียร์ก็ซาดิสต์ เชียร์กันเป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะสาวๆ มาเวทีนี้ตรึมเพราะนักมวยแต่ละตัว แมร่งหล่อโคตรพ่อ เวทีสุดท้ายคือเวทีอาหารและของมึนเมา นี่แหละของโปรด ไปเวทีนี้ก่อนเลย โดยเฉพาะเบียร์สิงห์มาเปิดบูธและเล่นดนตรีสด โหบรรยากาศเหมือนกินเบียร์อยู่หน้าเซนทรัลเวิร์ลคูณสองเลยอะ เพราะมีสาวๆ นานาชาติแต่งตัวกันแบบเปิดเผย มาเดินโชว์ความขาวกันละลานตาไปหมด (โอย ขอทิชชูหน่อยเลือดกำเดาไหล) งานนี้จัดทั้งวัน ไม่น่าเชื่อเลย ไอ้น้องที่มันเป็นสต๊าฟในงานเล่าให้ฟังว่าแต่ละวันมีคนมาเป็นหมื่น มองไปอีกรอบ เออ! กูเชื่อละ แมร่งดูป้ายสปอนเซอร์ดิ เยอะยิ่งว่างานไหมผูกเสี่ยวบ้านกูอีก
สถานที่จัดงาน Collingwood Town Hall มางานซะหัววันเลยตู
สาวๆ รำถวายพระพร งามแต้ๆ
ดื่มถวายพระพร
ปิดท้ายด้วยงานบันเทิง มีดนตรี วง Outsider (เพลงใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย, ทิ้ง ค่าย RS)
เป็นวงเปิด ตามด้วย วงฟอร์เอฟเวอร์ แต่ละวงแมร่ง...สมวัยกรูจริงๆ
ปิดท้ายด้วยงานเทศกาลดีๆ ที่ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างคือ งานวันพ่อ (King Birthday Anniversarites) ปีนี้ไปจัดกันนอกเมืองถึง Collingwood Town Hall โน่น ต้องดูแผนที่ เสิร์ฟเน็ท วางแผนการเดินทางกันอย่างดี เพราะไม่เคยไปแถมบอกเป็นงานกาลาดินเนอร์อีก ไปสายคงได้อายชาวบ้านอีก สุดท้ายที่ไหนได้นั่งรถไฟจากสถานี Flinder แค่สิบห้านาทีถึงแล้ว แถมออกจากสถานีรถไฟ Collingwood ปุ๊บเจอ Town Hall กระแทกหน้าแบนๆ ปั๊บ สรุปว่ารั่ว มาตั้งแต่ไก่โห่ อายกว่าเดิม แถมแต่งตัวหล่อซ้า ใส่เสื้อนอกเต็มยศแต่อากาศตอนหกโมงเย็นเมืองนี้เสือกมีแดดจ้าและร้อนโฮกยังกับบ่ายสามโมง กว่าประตูจะเปิดก็หกโมงครึ่ง รอไปซิ เหงื่อแตกยังกับกรรมกร เข้าไปในงานค่อยยังชั่วหน่อย คนไทยตรึม เสียงคุยกันโช้งเช้งเหมือนอยู่ตลาดยิ่งเจริญ อาซ้อ อาเฮีย อากู๋ เมาส์กันซ้า แบบนานๆ ทีได้เจอเพื่อนคนไทยเป็นฝูงขนาดนี้ งานเป็นทางการช่วงแรกๆ กงศุลพูดสดุดีในหลวง พวกเราร้องเพลงสดุดีมหาราชา ดื่มถวายพระพร จุดเทียนชัย ดู Utube ตอนท่านเสด็จออกมหาสมาคมเมื่อวันที่ห้า แล้วก็รำถวายพระพร จากนั้นก็ได้เวลากินและดูการแสดง ยิ่งช่วงหลังๆ ยิ่งเลอะเทอะ มีทั้งคาร์บาเร่ย์ไปจนถึงดันดารา กินอิ่มกลับละ ก่อนที่จะทนไม่ไหว ไม่ใช่วิ่งเต้นประกวดดันดารากับเขานะ แต่เห็นบาร์เหล้าและเบียร์สิงห์ล่อตาล่อใจอยู่อีกด้านนึงของงาน กลัวจะวิ่งไปหามันแล้วกลับบ้านไม่เป็นหน่ะสิ
~~~~~~@@@@@@@@@~~~~~~~
Rich (เสื้อแดงสวมผ้ากันเปื้อน) พ่อครัวมหัศจรรย์ ทำอาหารสไตล์โปแลนด์ให้พวกเราทาน อร่อยโคตร
อาหารแบบโปแลนด์ (ซ้าย) มันฝรั่งราดแกงกะหรี่ไก่ (ขวา) แคปซิคัมยัดใส้เนื้อแกะบดแล้วราด Toping ด้วยเห็ดย่าง
บรรดา Kitchen hand แต่ท่าทางจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ทำให้พ่อครัววุ่นกว่าเดิมมากกว่า
งานแรก มีครอบครัวพี่จิตรและ Richard เป็นเจ้าภาพ พิเศษคือ Rich (ชื่อเล่นเป็นมงคลมาก.....กกกก) ทำอาหารสไตล์โปแลนด์ (Poliska Food) งงอะดิ นึกภาพไม่ออกเลยใช่มะ ไม่เป็นไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน Rich เข้าครัวทำอาหารล่วงหน้าสองวันสองคืนเพราะขั้นตอนการทำละเอียดและซับซ้อนมาก Entree เป็นแผ่นมันฝรั่งบดผสมกับครีมอะไรก็ไม่รู้เลยออกมาเป็นสีเทาดำ แล้วตบเป็นแผ่นเท่าฝ่ามือเอาไปย่างให้เกรียมนิดหน่อย เวลาทานราดซาวน์ครีมและเกลือเล็กน้อย อร่อยดี นุ่มๆ หยุ่นๆ กรอบๆ Main course มีสามอย่างคือ เนื้อแกะสับปรุงรสยัดใส้ในแคปซิคัม (พริกหวานสีเขียว) โรยด้วยเห็ดสีดำย่าง อย่างที่สองคล้ายกับสปาร์เก็ตตี้แต่เป็นมันฝรั่งบดผสมแป้งทำเป็นก้อนเล็กๆ ลวกน้ำร้อน แต่เหนียวและหยุ่นกว่าเส้นสปาเก็ตตี้เยอะ ราดด้วยน้ำแกงคล้ายแกงกระหรี่ไก่ (รายการนี้แหละใช้เวลาทำนานที่สุด) และสลัดเพื่อมาเบรกอาหารพวกเนื้อ ตบท้ายด้วย Dessert ดื่มชาร้อนแบบอินเดีย Chai tea กับ Brownie ล้างปาก
ทีมนักร้องนักดนตรี สู้ตายคร๊า..........
ทีมนักจั่ว (ไพ่ UNO) ก็สู้ตายเหมือนกันคร๊าบบบบบบ
คุยกันจนอิ่มใจแล้วชวนกันเล่นไพ่อูโน่ (UNO) และร้องเล่นกันเพลินถึงเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับกลับบ้าน ปาร์ตี้งานนี้อบอุ่นเหมือนทำอาหารทานที่บ้านเพราะมีแต่คนไทยส่วนใหญ่ คุ้นเคยและเป็นกันเอง
ปาร์ตี้กับเพื่อนนักเรียนภาษาที่ร้านอาหารเกาหลี Goo Wa แถวตลาด Queen Victoria Market
ส่วนปาร์ตี้ที่สองเป็นหน้าที่ของเพื่อนสมัยโรงเรียนภาษาที่ Hawthorn พวกเราทั้งหมดเป็นกระเหรี่ยงเอเชียที่มาเรียนภาษาด้วยกันเมื่อพฤษภาคมสองปีที่แล้ว และตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปเรียนตามคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ไปทานกันที่ร้านอาหารเกาหลี คล้ายกับร้านเนื้อย่างบ้านเรานี่เอง แต่อยู่นี่หาทานไม่ง่ายเหมือนบ้านเรา (เห็นหรือยังว่าบ้านเราอุดมสมบูรณ์กว่าเห็นๆ) แถมกินให้ห้องแอร์อีก กินเสร็จหัวเหม็นข้ามวันข้ามคืน ส่วนที่บ้านเรากินกลางแจ้ง อากาศดี ปลอดโปร่งดีจะตาย เอาหล่ะมัวแต่บ่น มาดูวิธีการกินของร้านนี้ดีกว่า ด้วยความที่เจ้าของเป็นชาวเกาหลี เขาจึงพยาย๊าม พยายามจะรักษารสชาติและวิธีการกินแบบดั้งเดิมไว้ มีทิปนิดนึงคือ ส่วนใหญ่เจ้าของร้านอาหารนานาชาติ (หมายถึงต่างชาตินอกจากอาหารฝรั่งและออสเตรเลีย) เจ้าของมักจะเป็นคนจีน รวมไปถึงร้านอาหารไทยหลายร้านเจ้าของก็เป็นคนจีนด้วย เพราะฉะนั้นเข้าไปในร้านก็จะได้ทานอาหารไทยสไตล์จีน รสชาติแปลกๆ แถมคนเสิร์ฟก็เป็นคนจีนแต่พยายามเอาใจพูดไทยกับเรา รู้สึก พิกล สรุปว่าพอคนจีนเป็นเจ้าของร้านอาหารชาติอื่น มันไปลงที่ทำให้อาหารชาตินั้นเพี้ยนไปเยอะ ดังนั้นหลายคนเลยเบื่อ ยอมจ่ายแพงไปกินร้านต้นตำรับดีกว่า ซึ่งรวมถึงร้าน Goo Wa ที่เราไปทานด้วย
Side dish สารพัดผักดองเกาหลี
พนักงานเสิร์ฟสาวเกาหลีแสนใจดีมาช่วยตัดเนื้อให้พวกกระเหรี่ยงหลังเขาทาน
เมื่อสั่งอาหารแล้ว เขาจะเอา Side dish คือเครื่องเคียงได้แก่ กิมจิ ผักดองสาระพัดแบบ และน้ำจิ้มงา (จืด) กับน้ำจิ้มพริกแดง (เผ็ด) มาพร้อมกับข้าวคนละตลับ (ไม่ได้เรียกผิดนะ ใส่มาเป็นตลับสเตนเลสเชียว) จากนั้นเตาย่างก็มาพร้อมกับวางเนื้อติดซี่โครงชิ้นยักหญ่ายบนเตาปิ้ง เวลาทานเขาจะให้เราสั่งเนื้อว่าสนใจอยากกินตรงไหนของวัว (หรือหมู) เช่น สันคอ ท้อง สะโพก หรือ น่อง แล้วจะหั่นมาเป็นชิ้นใหญ่มาย่าง พอสุกให้เราตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ทานเอง แต่ร้านนี้ใจดี มีพนักงานมาช่วยตัดเนื้อให้ คงเห็นหน้ากระเหรี่ยงแบบพวกเราแล้วคาดว่าพวกนี้กินแบบไฮโซไม่เป็นแน่นอน เลยต้องมาบริการ อีกมุมก็ตั้ง Hot pot เป็นกระทะเหมือนเอ็มเคสุกี้ แต่ใส่อาหารและน้ำซุปปรุงรสมาพร้อม ตั้งไฟให้เดือดตักทานได้เลย อีกเมนูคือหมูบุโกกิ สไลด์เป็นชิ้นบางๆ แต่แผ่นใหญ่หมักกับซอสพริกบ้านเขาแล้วเอาไปรวนในพริกแกงพอเนื้อเด้งๆ แล้วตักใส่แผ่นกระทะร้อนมาเสิร์ฟ ถ้าใครชอบเผ็ดเมนูนี้รับรองถูกปาก เวลาทานก็ไปแย่งเนื้อย่างของเพื่อนกิน เอ้ยไม่ใช่ เอากิมจิ ผักดองและน้ำจิ้มทั้งสองอย่าง ใส่ลงในจานแล้วตักข้าวสวยจากตลับไปคลุกให้เข้ากัน แล้วตักทานสลับไปกับเนื้อย่างและ Hot pot อร่อยเลิศ ปาร์ตี้นี้เหมือนสมัยเรียนปอตรีเพราะสดชื่น ครึกครื้นดี
Hot pot
Pork Bung Ko Ki ใส่มาในกระทะร้อนรูปหมู น่ากินมาเชียว
ไปๆ มาๆ รีวิวรอบนี้กลายเป็นครูกุ๊ก พาอรินทร์ทานอาหารนานาชาติซะแล้ว คาดว่าไม่พ้นปีใหม่นี้จะกลับไปกลมกลิ้งน่ารักเหมือนสมัยก่อนแน่นอน อุตส่าห์ไดเอทตอนอยู่บ้านตั้งนาน จะกลับมาอ้วนอีกรอบก็ตอนเรียนที่นี่แหละ เฮ้อ! ทุขลาภของคนวันสามสิบห้าจริงๆ
~~~~~~~~~@@@@@@@~~~~~~~~~~~
เอ๋ หนึ่ง และโหน่ง ที่ร้านบ่แซบเลย
แยกย้ายจากเพื่อนตอนทานกลางวันแล้วเลยแวะไปหาต่าย เนตรนภาที่ ศกว วันนี้มีนักเรียนมอปลายมาสอบเอ็นทรานซ์กันเพียบ เรียกว่า GAT, PAT ซึ่งเราก็แก่เกิ๊นไม่รู้ความหมายมันหรอก เรื่องดีที่สุดวันนี้คงเป็นเรื่องที่เราได้ไปสวัสดีอาจารย์แม่ อ.พจนีย์ วานิช อาจารย์โฮมรูมห้องหกทับสามรุ่นแปดสิบของพวกเรา ซึ่งต่ายพามาได้เวลาเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงคณาจารย์กำลังจะทานข้าวกลางวันพอดี (เสร็จโจร) เลยได้ทานข้าวฟรีกับอาจารย์หลายๆ ท่าน เช่น อ.ผ่องพรรณ (ภรรยา ผอ.ศกว คนปัจจุบัน) อ.ประเทือง (สอนวิชาแนะแนว) อ.ทิพาพร (สอนภาษาอังกฤษ) อ.อำพัน สลักคำ และอีกมากมาย ดูรูปเอานะ อิจฉาใช่ปะหล่ะ อิ อิ อิ
อาจารย์พวกเราสวยคงกระพันทุกท่านเลย
อ.พจนีย์ จำพวกเราได้เก่งมากๆ พูดถึงใครแกก็จะเล่าถึงพวกเราสมัยเรียนให้อาจารย์ท่านอื่นได้ฟังด้วย อันนี้ก็แล้วแต่บุญเก่านะครับ ใครน่ารักก็ดีไป ใครน่าเตะก็อายไปเหมือนกัน อันนี้เป็นเบอร์ของอาจารย์นะ 086 720 8810 เพื่อนๆ ลองหาโอกาสโทรศัพท์ไปกราบสวัสดีแก ในโอกาสสำคัญบ้างคงจะดี ท่านคงดีใจมากที่พวกเรายังจำแกได้ ปิดท้ายด้วยการถ่ายรูปกันซักหน่อย โหยมีความสุขจังเลยเพื่อนๆ อยากให้มาอยู่ตอนนี้ด้วยกัน ก่อนกลับ อ.ต่าย ใจดีพาทัวร์รอบโรงเรียน เลยได้ภาพถ่ายอาคารต่างๆ มาฝากเพื่อนมากมาย (ติดตามในหัวข้อต่อไปนะ) แยกจากต่ายแวะไปหาหนึ่ง สุภาวดีที่สำนักงาน การศึกษานอกโรงเรียน เห็นว่าที่นี่มีเน็ตฟรีให้เล่นและแรงปู๊ดได้ใจ แต่ทำไมหนึ่งทำหน้าเซ็งๆ หว่า อ้อ! Server เจ๊งนี่เอง เลย log in ไม่ได้ เอ่อ อันนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้นะครับ
อาคารใหม่ ศาลาประชาสัมพันธ์ เป็น Hall of frame และ ห้องรับแขกของโรงเรียน
จากนั้นก็เดินไปห้างซุ่นเฮง ห้างไฮโซหนึ่งเดียวใจกลางเมืองศรีสะเกษ แวะไปที่ร้านซีเอ็ดชั้นสองก่อนเลย เพราะจะไปทักภาณุวัฒน์ แต่ไม่มีพนักงานคนไหนรู้จักซะนี่ อ้าว! แล้วไงต่อละหล่ะ ตู อ้อเรามีตัวช่วยคือ อ้าน ลำพัน นั่นเอง..... ว่าแล้วก็ลงไปแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ต มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นใครหน้าเหมือนอ้านซักคน (หน้ากลม ผมหยิกหยอย ขอโทษนะอ้าน ก็ห้าปีที่แล้วจำได้อย่างนี้นี่หว่า) เอ๊ะ! หรือจะหนีตามกันไปแล้ว (ล้อเล่นนะ) เลยถามพนักงานแถวนั้นดู เขาบอกให้กลับหลังหันแล้วจะเห็น ประมาณว่าถ้าอ้านเป็นงู คงจะฉกเอ็งตายไปแล้ว ไอ้เซ่อ! บัดนั้นเอง... อ้าน ครับพี่น้อง กำลังทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น ไม่สนใจใครทั้งนั้น สมเป็นพนักงานตัวอย่างของห้างสุดหรูแห่งศรีสะเกษซิตี้ แล้วหันมามองหน้าเราแว๊บนึง แล้วทำงานต่อ แต่คงนึกขึ้นได้ว่าลูกค้าที่ไหนจะมาวีนกูหรือเปล่าวะ เลยเงยหน้ามองอีกทีพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ (แต่ยังจำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร)
1…
2….
3…..
ปิ๊ง!
“เอ้ย~~~ 55555” นี่คือคำทักทายคำแรกของคุณลำพันครับพี่น้อง
สรุปว่าจำเพื่อนได้แล้ว เลยคุยใหญ่เลยและลืมลูกค้าไปเลยเช่นกัน อืมม์ .... พนักงานดีเด่น T^T
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปอ้านมาอวดเพราะ จนท ของห้างไม่ยอมให้ถ่ายรูปในห้าง ว้า อดกัน~~~ แต่เป็นเอาว่า เธอผอม แบน (หมายถึงลำตัวนะ อย่าคิดมาก) ผมยาวเหยียดตรงปิดใบหน้าไปหนึ่งในสาม เทรนด์ดาราเกาหลีตัวพ่อ ส่วนภาณุวัฒน์ย้ายไปทำงานที่ กทม แล้วแต่ไม่มีเบอร์ติดต่อ ว้า (รอบสอง) เสียดาย~~~ หลังจากกวนประสาทเพื่อนจนอิ่มใจแล้ว ก็เลยแวะไปซื้อนมกับขนมปังปิ้งไปเซ่นสองสาว ดาว และ หนึ่งที่ร้านยา
ทานอาหารนอกบ้าน ไฮโซที่สุด
วันนี้ทานข้าวนอกบ้านอีกแล้ว ไฮโซเช่นเคย ปูเสื่อบนฟุตบาทหน้าร้านแล้วเริ่มกินเตี๋ยวอย่างหิวซก คืนนี้มีเอ๋ พิมลทิยาและแฟน ต่าย และ สิ่วมาแจมด้วย และแล้ว การนินทาเพื่อนก็เริ่มอย่างเป็นทางการ โดยการไล่ชื่อเลขที่กันครบทุกคนเลย พวกเราสามารถอัพเดทเพื่อนๆ ได้เกือบหมดแต่มีอยู่หลายคนอะ ที่จนปัญญาเพราะไม่รู้ข่าวคราวเลยคือ โอ๋ นพดล มนัส มะณู แจ๊ส ดารารัตน์ ลงกรณ์วิทยา ศักดิ์สยาม เป็นต้น ใครที่มีเบาะแสช่วยแจ้งเราด้วยนะ เพื่อนๆ ให้อภัยแล้วกลับมาเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าพวกเราคุยแต่เรื่องไร้สาระ ท้ายสุดตอนจะแยกกันกลับบ้านนี่แหละ เฮียสิ่วกับครูต่ายเกิดไอเดียอยากทำธุรกิจระหว่างประเทศขึ้นมา แล้วไอ้พวกที่นั่งฟังอยู่รับลูกซะนี่ เลยคุยกันซีเรียส เป็นเรื่องเป็นราวมากๆ คาดว่าถ้าทำสำเร็จคงเป็นธุรกิจของรุ่นเราได้ คุยกันลากยาวไปจนเที่ยงคืนค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน
ปรัชญาโรงเรียนที่ตึกหนึ่ง ฝั่งห้องวิชาการ
สุดท้ายแล้ว ได้กลับมาศรีสะเกษอีกครั้งในรอบห้าปีนี้มีความสุขดีจริงๆ เพราะได้เจออาจารย์ เพื่อนๆ หวนรำลึกถึงวันเก่าๆ และได้เพื่อนใหม่ (พี่หมู เด็กน้อยอนุบาลเพื่อนบ้านหนึ่ง สุภาวดีที่เรียกเราว่า น้องหนึ่งอยากเต็มปากเต็มคำ น่ารักมาก ใครสอนให้พูดเนี่ย) ทำให้ได้กำลังใจพร้อมสำหรับไปเรียน คาดว่าอีกสามสี่ปีข้างหน้าคงได้มาเจอเพื่อนๆ อีกในงานคืนสู่เหย้า 100 ปี ศกว ในปี 2555 นะ
Cheers~
HIPPO is crazy architect student. I was born at E-sarn so my snout so flat within the square face, and shape angle chin but so sadly that I roughly bad on speaking Laos. I believe that eating "Pla Dake" everyday will increase my native language skill, that's why i'm really enjoy eat Som Tum Laos everyday. Currently, I'm doing post graduated course at school of ABP, Melbourne University. I found that one of the best way to made myself overcome the lonely moments at here is joining Blogger because it is very easy way that available me to keep in touch with u guys. I wish, at lease 3 years at one of most world liveable city, will be both enrich and reward my life and study. U r welcome to survey my small world and also to catch up u soon. Cheer :)
สมัครสมาชิก
บทความ [Atom]