skw603 alumni's 80
วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553
  Update # 2
15 April 2010, Friday


ห่างหายไปนานสำหรับการเขียนบล๊อกเพราะมัวไปลุ่มหลงอยู่กับ Facebook จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเลิกไม่ได้ สงสัยต้องส่งไปถ้ำกระบอกอย่างเดียว ช่วงเดือนที่ผ่านมาได้รับเมล์ข่าวดีของสองสาวคือ ดาว ปาลิดา และ เอ๋ อัญชลี ที่คนแรกวิวาห์ไปเรียบร้อยวิทยาลัยสารพัดช่างแล้ว ส่วนคนหลังจะวิวาห์ราวกลางเดือนมิถุนายนนี้ เลยถือโอกาสมาอัพเดทรูปเพื่อนภาคสองกันสักหน่อย ให้หายคิดถึง


ช่วงนี้เป็นวันหยุดสงกรานต์ เพื่อนๆ หลายคนคงเดินทางกลับศรีสะเกษ น่าอิจฉาที่สุด เมื่อวานแชทกับหนึ่ง จิรัฐิติพงศ์ ผ่าน Facebook (อีกแล้ว) บอกว่าอยู่ที่ศรีสะเกษ นัดเจอเพื่อนๆ ไว้หลายคนทั้งโย สมภพ หยาม ศักดิ์สยาม (ชื่อนักมวยมากๆ) และโอ๋ เสกสรร ไว้ด้วย ได้ฟังแล้วต่อมอิจฉาทำงานทันที แต่ต่อมความจนใหญ่กว่าเลยกดความอยากซะอยู่มิด เพราะไม่มีเงินบินกลับนั่นเอง สงกรานต์นี้ขอให้เพื่อนๆ และครอบครัวมีความสุขในวันปีใหม่ไทยมากๆ หากใครเดินทางไกลขอให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุและขบวนประท้วง ขอให้น้ำเย็น สาดให้เย็นทั้งกายและใจ อย่าได้เครียดตามอากาศและภาวะการเมืองตอนนี้เลย เอ้าบ่นพอละ มาดูรูปน่ารักๆ กันดีกว่า



รูปชุดแรกเป็นรูป เอ๋ อัญชลีกับครอบครัว เอ๋ส่งภาพมาให้เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พร้อมแจ้งข่าวดีมาว่า เอ๋ จะแต่งงานวันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2553 นี้ ส่วนสถานที่และเวลาจะบอกมาอีกที เอ๋ อยากจัดงานที่ปาร์ตี้แบบค๊อกเทลและบุปเฟ่ต์ บรรยากาศเป็นกันเอง ในสวนน่ารักๆ สักแห่ง แต่ตอนนี้คาดว่าจะอยู่ที่เดนมาร์ค หรือ กำลังมุ่งมั่นเรียนภาษาอยู่ที่กรุงเทพ เพื่อนๆ อยู่กรุงเทพลองโทรคุยดูนะ ถ้าเอ๋อยู่นี้จะได้นัดทานข้าวเลี้ยงส่งว่าที่เจ้าสาวสักครั้ง แต่ถ้าเอ๋อยู่ต่างประเทศน่าจะกลับมาราวันที่ 4 มิถุนายนเพื่อเตรียมงาน ส่วนการ์ดคงร่อนไปหาเพื่อนๆ ราวปลายเดือนพฤศภาคมนี้แหละ เอ๋เชิญเพื่อนๆ ร่วมงานด้วยนะ หากสุดวิสัยไม่ได้รับการ์ดจากเจ้าบ่าวเจ้าสาว


ในที่สุด เอ๋ก็ทำสำเร็จ สาวๆ รีบปรึกษาด่วน


Happy Big family


เอ่อ! น่าทานทุกอย่างเลย ถ่ายรูปนี้มาแกล้งกันใช่ไหม ?


รูปชุดที่สอง เป็นรูปเจ้าบ่าวและเจ้าสาวป้ายแดง คือ ดาว ปาลิดา และ แฟนหนุ่มคือ ตวาง สาธิต แต่งงานไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ศาลาประชาวาริน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เห็นว่ามีเพื่อนๆ เราที่ศรีสะเกษไปกันด้วย ดาวส่งรูปมาให้เมื่อวันที่ 12 เมษายน นี่เอง รูปน่ารักเชียว







โพสท่าเป็นซุปเปอร์สตาร์เกาหลีมั๊กมาก





อย่างกะพระนางในละครไทย





ท่ามันพาไป ไม่ได้ตั้งใจโชว์แหวนฝังเพชรร้อยกะรัต





รูปนี้ขอ Full option



รูปชุดสุดท้าย ไม่ได้เป็นงานแต่ง แต่น่ารักเหมือนกันคือ คุณแม่ต่าย โชติมา และพ่อเอ๋ ภาคภูมิ พาคุณลูกสุดเลิฟน้องอองฟอง และ อัลฟ่า ไปถ่ายแบบนอกสถานที่ เพื่อส่งลูกโกอินเตอร์เป็นสุดยอดนางแบบนายแบบ งานนี้พ่อทูนหัว หนึ่ง จิรัฐิติพงษ์ กับ อ.โย สมภพ ทุ่มสุดตัวเป็นช่างภาพและให้กำลังใจกันถึงที่ นอกจากนางแบบนายแบบจะ Born to be แล้วเมื่อบวกฝีมือถ่ายภาพระดับเทพของ หนึ่ง เข้าไป จึงได้ภาพสุดเพอร์เฟ็คมาอวดพวกเรา




ต้นฉบับและสำเนาถูกต้อง




วิ้ง** วิ้ง** ออร่านี้ ลูกได้แต่ใดมา ?




อะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก ?




เห็นท่าโพสทั้งสามพ่อแล้ว อองฟองคิดว่าต้นมะพร้าวดูเท่สุด


~~~~~@@@@@~~~~~~
 
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553
  Reunion SKW Alumni 80 in 16 Years Anniversaries
Friday 20 February 2010
At IT Bizz, Lad pla kao, BKK

รวมหมู่แฟนคลับน้องอองฟองกับน้องอัลฟ่า

นัดกับต่าย โชติมา และ อ.โย ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาว่าน่าจะเจอกันสักครั้งก่อนเรากลับเมลเบิร์นตอนปลายเดือน ได้สอง Organizer ระดับเทพมาทำให้ฝันเราเป็นจริง คือ ต่ายกับครอบครัวที่เอื้อเฟื้อร้านตัวเองชื่อ IT Bizz แถวถนนลาดปลาเค้าระหว่างซอย 35 กับ 37 เป็นสถานที่นัดพบ ส่วน อ.โย เป็นธุระโทรนัดเพื่อนๆ มาเจอกัน รวมกันได้สิบกว่าคน เยอะๆ มากสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันเกือบสิบหกปี ว่าแล้วก็ไปเปิด Blog ดูหน้าเพื่อนตอนวัยเยาว์ฟื้นความทรงจำกันหน่อย



เฮียปุ๊ - อ.โย - นิว ไอยรา กับเจ้าของบ้าน น้องอองฟอง


เราบินมาถึงกรุงเทพตอนเช้า ได้รับโทรศัพท์จาก อ.โย เป็นระยะเพื่อ Up date ว่าชวนเพื่อนๆ ใครได้บ้าง ฟังแล้วชื่นใจดี ตอนบ่ายมีนัดพาหลานสาวไปเที่ยวทะเลที่ชลบุรี เพราะอยู่ไม่ไกล คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงกลับมาทันหกโมงเย็น แต่คิดผิด เพราะกว่าจะกลับถึงกรุงเทพปาไปเกือบทุ่ม แล้วยังต้องนั่งรถผ่าการจราจรวันศุกร์ตอนเย็นจากสุวรรณภูมิมาลาดพร้าว อืมม์ ขับรถไปชลบุรีอีกรอบน่าจะถึงเร็วกว่าด้วยซ้ำ เฉพาะตรงสี่แยกเมเจอร์รัชโยธินปาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ระหว่างทาง อ.โย ต่าย และฟี่ โทรมาไซโคเป็นระยะอีก ทำเอาต่อมสำนึกผิดมาจุกอกเหี่ยวๆ กว่าจะไปถึงบ้านต่ายก็สองทุ่มแล้ว เจอเพื่อนๆ นั่งกันเต็มเลย ทั้งดีใจและเสียใจที่มาช้ามากกก นึกเอาละกันนัดหกโมงมาถึงสองทุ่ม โอ้ย กรูจะบร้าตาย เข้าไปขอโทษท๊อฟฟี่ อัญญมณีคนแรก ที่ตั้งใจขับรถมาจากปากช่องเพื่อมาเจอเพื่อนๆ โดยเฉพาะ นี่ไม่รวมนิวที่มาจากอยุธยา ประกายนั่งรถมาจากระยอง ทิ้งลูกอ่อนวัยสี่เดือนไว้กับศรีภรรยา เลยถูกเพื่อนรุมเทศนาไปกันใหญ่



สาวๆ ยิ้มหวานสู้กล้อง ตุ๊กตา ปุ๊ก และต่าย


พวกเราอัพเดทว่าแต่ละคนทำอะไร อยู่ที่ไหนกันบ้าง คุยกันสนุกมาก ยิ่งมีหลานๆ มาเล่นด้วย ยิ่งเพลิน คุยแข่งกันทั้งเด็กทั้งวัยรุ่น (หมายถึงพวกเรานั่นแหละ) อาหารการกินก็มีไม่ขาด ยิ่งมีมะม่วงน้ำปลาหวานมาด้วย ~~~ แซ่บหลาย แต่งานนี้ท่าทางจะจืดไปเลยเพราะเจอซีนหวานของนิวกับน้องน้ำตาลเข้าไป กรรมไปตกที่หนึ่ง จิรัฐิพงษ์ เพราะบ่นว่ายังโสด เลยต้องโทรศัพท์หาสาวๆ แก้เขิน คงต้องปรึกษานิวเอาเอง ว่าทำอย่างไงถึงมีแฟนสวย น่ารัก และเด็กกว่าแค่สิบกว่าปีได้




สี่หนุ่มบอยแบนด์ (แบนออกทางขวาง) ประกาย หนึ่ง ปุ๊ และ นิว



กลุ่มสาวจับกลุ่มคุยกันใหญ่ ตั้งแต่เรื่องทำงาน ยันเรื่องลูก ยิ่งท๊อฟฟี่ คุยเก่งมากๆ นอกจากแซวเพื่อนๆ ที่ยังไม่มีครอบครัวแล้ว ยังแซวตัวเองอีกต่างหาก ปุ๊ก อรวรรณ์แอบผอมคงงานเยอะ ต่ายเป็นยอดคุณแม่เลี้ยงลูกและทำงานไปด้วย ตุ๊กตายิ้มหวานมีความสุขและอารมณ์ดี ส่วนฟี่หน้าเด็กเหมือนสต๊าฟไว้เหมือนสมัยเรียนมัธยมได้ยังไงยังงั้น มิน่าแฟนรักแฟนหลง




เจ่เจ้ สอนวิธีการมัดใจสามีให้หนุ่มโสด-สาวโสด
ดูสีหน้าปุ๊ก อรวรรณ์ก็รู้ว่าเจ๋งแค่ไหน


กลุ่มหนุ่มๆ ก็หุ่นดีไม่แพ้กัน เอ๋ เจ้าภาพหน้า ผม หุ่นเหมือนเดิมเด๊ะ น้องอองฟองกับน้องอัลฟ่าคงแย่งคุณพ่อคุณแม่ทานหมด ทั้งสองคนเลยผอมซะงั้น อ.โย โคตรเท่เป็นหนุ่มเมโทรเต็มตัว หนึ่งจิรัฐิแอบอึ๋ม หน้าขาวอวบแต่ใสกิ๊ก คงต้องหาแฟนมาแย่งทานบ้างแล้ว ดูตัวอย่างนิวดิ ~~~ ผอมได้อีก ส่วนเฮียปุ๊ต้องโด๊ปเพราะทำงานหนัก และ ประกายต้องช่วยเลี้ยงลูกอ่อน เป็นข้อยกเว้น สรุปว่าทุกคนยังหุ่นดี ดูเด็กเหมือนเดิม (ไม่ได้ Bias เลยกรู)




เปลี่ยนบรรยากาศมาคุยนอกบ้าน



พวกเราคุยกันถึงเกือบห้าทุ่มเริ่มเดินทางกลับ เจ้าภาพไปส่งฟี่กลับเป็นเจ้าแรก ตามด้วยเรากับประกาย และคนอื่นๆ ค่อยๆ ทะยอยกลับ อ.โย ยังน่ารัก คอยโทรศัพท์หาเพื่อนๆ แต่ละคนว่าถึงบ้านปลอดภัยดีไหม น่าจะตั้งให้เป็นประธานรุ่น ซะเลย (งานเข้าซะแล้ว)




คู่ดูโอ อดีตของชาติ กับ อนาคตของชาติ
อัลฟ่า หนูทำพ่อหมองไปเลยลูก



เอ้าสุดท้ายแล้วขอยกสุดยอดตำแหน่งเพื่อนสุด Love ให้พวกเราดังนี้

เจ้าบ้านดีสุดคือยกให้ ต่าย โชติมา เอ๋ ภาคภูมิ น้องอองฟองและน้องอัลฟ่า แสนน่ารัก ที่ออกมารับแขก คุณลุงคุณป้าไม่มีเหน็ดเหนื่อย คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเก่ง หลานๆ ฉลาด ร่าเริง และซนได้ใจมาก เอาใจช่วย ขอให้น้องอองฟองสอบได้ทั้งที่สาธิตเกษตรและสาธิตจุฬา นะลูก เครียดแบบไม่รู้จะเลือกที่ไหนดี เพราะสอบติดทั้งสองอันเลย ดูน่าหมั้นไส้ดี แต่ช่วยไม่ได้ เก่งด้วย สวยด้วย อย่าได้แคร์

สาวสุดฮา คือ เจ่เจ้ ท๊อฟฟี่ อัญญมณี เมาส์มันส์มาก ทั้งเรื่องเพื่อนๆ รวมไปถึงสามีและลูกตัวเอง โดยเฉพาะน้ำใจที่ขับรถมาจากปากช่องเพื่อมาเจอเพื่อนๆ และขับรถกลับในคืนเดียวกัน เพื่อนตรูน่ารักโคตรๆ

น่าอิจฉาสุดคือ นิว ไอยรากับน้องน้ำตาล ทำเอามะม่วงน้ำปลาหวานจืดไปเลย กุ๊กกิ๊กน่ารักกันอยู่หลังตู้ Showcase โลกเป็นสีชมพูสุดๆ

หน้าเหนื่อยที่สุด ยกให้ เฮียปุ๊ สมศักดิ์ อารมณ์ประมาณว่าทำงานมาทั้งวันแล้วเดินทางมาเจอเพื่อนๆ เลย เลยดูง่วง งงๆ แต่ยิ้มหวานตลอด นัยว่างานยุ่งเพราะธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างรุ่งเรืองเอามากๆ

พ่อลูกอ่อนที่สุด ยกให้ ประกาย ขอแสดงความยินดีที่ได้ลูกชายคือ น้องจูเนียร์ อายุแค่สี่เดือน ประกายนั่งรถแท๊กซี่มาจากระยอง เกือบสองร้อยโลมาเจอเพื่อนๆ ใจเกินร้อยจริงๆ แถมขากลับ นั่งเป็นเพื่อนไปส่ง หนึ่ง ที่บ้านแถวสุวรรณภูมิ คาดว่ากว่าจะถึงบ้านคงดึก

ประสานงานดีสุดยกให้ อ.โย สมภพ ที่โทรหาเพื่อนๆ ให้มาเจอกันได้สำเร็จ คงหมดค่าโทรไปบาน บุญกุศลครั้งนี้ขอให้ อ.โยมีเพื่อนดีๆ อย่างพวกเราไปนาน เอ๊ะ ยังไง

หนุ่มโสดสุดๆ ยกให้ หนึ่ง จิรัฐติพงศ์ ไม่มีแฟนสักที เลยถูกสาวๆ แซวเอาเสียเซล์ฟไปเลย เอ้า สู้ต่อไปนะทาเกชิ เอ้ย ไม่ใช่ละ! ช่างภาพมือโปร

หัวหน้าทริปคนล่าสุดๆ ยกให้ ปุ๊ก อรวรรณ์ ที่คิดโปรแกรมทัวร์เมลเบิร์นไว้แล้ว เพื่อนๆ สนใจ เตรียมตั๋วค่าเครื่องบินไว้เลย ปลายปีนี้อาจได้มาฉลองปีใหม่ที่ออสเตรเลีย

เซอร์ไพร้สุด คือ ตุ๊กตา สันทิตา (เพื่อนห้องสี่) แวะมาเจอกันจนได้ เราได้คุยและนัดกับตุ๊กตาหลายครั้งแต่คลาดกันทุกที แต่สุดท้ายได้เจอกัน โดยเฉพาะมีของขวัญเป็นครีมชุดใหญ่ยี่ห้อไฮโซให้เราด้วย แต่อืมม์ ~~~ มันจะสายเกินไปสำหรับคนวัยสามห้าอย่างเราหรือเปล่านะ

ทุเรศที่สุดคือ หนึ่ง กฤตภัทร นัดหกโมงเย็น มันมาถึงสองทุ่ม เพราะไปชลบุรีเลยมาช้า เลยโดนเพื่อนๆ รุมเทศน์ชุดใหญ่ สม !




ภาพคู่บ่าวสาวที่พวกเราส่งกำลังใจไปให้ (ภาพจากหน่อย ขอบคุณคร๊าบ)


พิเศษสุดคือ พวกเราโทรไปแสดงความยินดีกับดาว ปาลิดา ที่จะแต่งงานในคืนวันรุ่งขึ้น (อาทิตย์ที่ 21กุมภาพันธ์ 2553) เสียดายที่พวกเราไม่ได้ไปร่วมงานเพราะติดทำงานวันจันทร์กันทั้งหมด เลยมารวมตัวฉลองให้ดาวที่นี่แทน พวกเราเชื่อว่า ถึงแม้จะไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ดาวกับเจ้าบ่าวก็คงทำเป็น เอ้ยไม่ใช่ หมายถึง พิธีแต่งงานก็ดำเนินต่อไปได้ เพื่อนๆ เราที่อยู่ศรีสะเกษและอุบล คงได้ไปงานดาวหลายคน อย่าลืมถ่ายภาพมาให้ดูด้วยนะ ตัวไม่ได้ไปแต่เพื่อนๆ ที่กรุงเทพทุกคน ส่งใจไปให้แทน หวานซ้า


~~~~~@@@@@@~~~~~~



 
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
  สี่เทศกาล
11 December 2009


งานจุดพลุวันชาติออสเตรเลีย ที่ริมแม่น้ำยาร่า วิวที่เห็นอยู่ฝั่ง City

วันนี้จะชวนเพื่อนๆ ไปดูงานเทศกาลในเมลเบิร์น 4 แบบ ที่เรากับน้องๆ คนไทยที่นี่ไปเยี่ยมเยียนมา ที่จริงไปหาของกินมากกว่า เมืองนี้มีเทศกาลมากมายเหลือเกินเพราะเขาโปรโมทตัวเองว่าเป็น Creative city คุ้นๆ ใช่ไหมหล่ะคำนี้ เพราะพี่ไทยเพิ่งประกาศนโยบายเอาอย่างกับเขาบ้าง แต่เมืองนี้เขาทำมาเป็นสิบปีแล้ว เลยดูเป็นเรื่องเป็นราวกว่าบ้านเรามาก เช่น ออสเตรเลียโอเพ่น (แข่งขันเทนนิสเวมเบอร์ดัน) ฟอร์มูล่าวัน (แข่งรถสูตรหนึ่ง) เทศกาลตลกนานาชาติ เทศกาลละครนานาชาติ นี่ก็มีคอนเสิร์ตแม่ Withney Houston ต้นปีหน้า เป็นต้น แต่งานที่เอ่ยไปยังไม่ได้เข้าดูซักอย่างนะ เพราะค่าตั๋วมันแพง คงต้องล้างจานเก็บตังค์เป็นเดือนเลยถึงจะดูได้ครบทุกรายการ งั้นออร์เดิร์ฟด้วยเทศกาลเที่ยว ที่เที่ยวฟรีและมีของกินอร่อยด้วยงาน 4 แบบคือ งานวันชาติออสเตรเลีย (26 มกราคม 52) งานเทศบาลมุมบา (9 มีนาคม 52) เทศกาลอาหารและวัฒนธรรมไทย (22 มีนาคม 52) และงานวันพ่อ (6 ธันวาคม 52)



ขบวนพาเหรดชุมชนชาวไทยในเมืองเมลเบิร์น ตอนเดินมาถึงหน้า Melbourne Town Hall


เริ่มต้นที่งานวันชาติออสเตรเลีย (Australia National Day) เขาถือเอาวันที่ 26 เป็นวันชาติเพราะเป็นวันที่กองทัพเรืออังกฤษขึ้นฝั่งออสเตรเลียที่อ่าวโบตานี เมืองซิดนีย์เป็นครั้งแรก และประกาศครอบครองออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ ในวันงานมีกิจกรรมเยอะแยะไปหมด เช่น ประกาศเกียรติคุณคนทำความดีให้เมืองนี้ การแสดงกลางแจ้ง ในร่ม แกเลอรี่ พิพิธภัณฑ์ชมฟรี ชมการแสดงในโรงละครและทานอาหารฟรีทั้งวัน เอมไปเลย โดยตอนเช้ามีเดินขบวนพาเหรดของสมาคมคนนานาชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองเมลเบิร์น แน่นอนหล่ะ เราแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอชมขบวนพาเหรดของคนไทยนั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าเมลเบิร์นจะเป็นเมืองนานาชาติขนาดนี้ ได้เห็นหลายขบวนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอ เช่น ประเทศตุรกี ธิเบต ลัทเวีย มาซีโดเนีย และประเทศเล็กๆ ในแอฟริกาโน่นเลย หลากหลายดีแท้ ดีแล้ว~ จะได้ไม่รู้สึกเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะเอเชียเราครองเมลเบิร์นจนฝรั่งออสซี่จะกลายเป็นพลเมืองชั้นสองแทนพวกเราไปแล้ว ว่าแล้วก็ 55555 อย่างสะใจ


อาเฮียมีแห่มังกร ไม่แปลกละ คนออสซี่เห็นจนชินตา

มาเจอของพี่ไทยมีแห่พญานาคเว้ย ไอ้หัวทองถึงกับงง มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ


ขบวนพาเหรดชาวมาเซโดเนีย ชื่อแปลกดีเนาะ คงอยู่ประเทศในกลุ่มรัซเซียเก่า คนถือป้ายก็หน้ารักซ้า


เอ้ามาดูขบวนไทยเราดีกว่า อยู่ช่วงกลางๆ แต่คึกคัก แฟนตาซี วี้วิ๊ดมาก เพราะมีเสียงกลองยาวดังมาตั้งแต่ไกล ตามด้วยหนุ่มสาวรำกลองยาว สีสันสวยงาม แต่ทีเด็ดเหนือคาดคิดคือ ขบวนแห่พญานาค เวร้ยเพื่อนๆ ~ จีนมันคงงงปนเครียดเนาะ เพราะมังกรมันมีคู่แข่งซะแล้ว แถมเราเชิดเอามันส์ ท่วงท่า pattern ไม่มีทั้งนั้น กูเอามวยวัดเข้าสู้ นักข่าวก็งงด้วย มิหน้ามาทำข่าวกันตรึม กะเอาไปลงข่าวกระหน่ำซ้ำเติมให้คนจีนได้ปวดม้ามได้อีก ดูขบวนจนถึงบ่าย ท้องร้องจ๊อกๆ เลยแวะทานอาหารจนเต็มคราบ ว่าแล้ว ก็ได้เวลาไปดูการจุดพลุที่ริมแม่น้ำยาราแล้ว พวกเราสี่คนชวนกันไปนั่งฝั่ง South bank ตรงสวน Melbourne Botanic Garden สักสามทุ่มกว่าพลุชุดแรกก็โชว์พาว (เล็กๆ) ให้พวกเราได้ชมแล้ว ที่ต้องรอให้ถึงสามสี่ทุ่ม เพราะตอนนี้เป็นหน้าร้อน กว่าฟ้าจะมืดก็สามทุ่มกว่า เที่ยงคืนคนยังเดินชิล ชิล เต็มเมืองอยู่เลยเพราะบรรยากาศเหมือนสองทุ่ม พลุออกแนวน่ารัก ลูกเล็กลูกน้อยรวมๆ กัน จุดอยู่สักครึ่งชั่วโมงก็จบ พวกเราเลยไปนั่งทานกาแฟดูนาดาลตีเทนนิส ที่ถ่ายทอดสดอยู่ Fed Square จนอิ่มอกอิ่มใจแล้วค่อยกลับ


สมัยเด็กดีดลูกแก้วจนเซียน ตอนแก่เลยไว้ลาย เอามาใช้กับการยิงปืน สอยตุ๊กตามาฝากน้องๆ คนละตัวสองตัว

มองไปฝั่ง City เห็นเครื่องเล่นละลานตา


อาหารตา วอลเลย์บอลชายหาด

วิวมุมสุงจากชิงช้าสวรรค์ ซ้ายมือเห็นฝูงคนนั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยารา เพื่อรอดูการจุดพลุ และมี MB Performance Art Centre (อาคารยอดแหลม) และตึกสูงที่สุดในเมลเบิร์นชื่อ Euraga เป็น Background

งานที่สองคือ เทศกาลมุมบา (Mumba Festival) ชื่อภาษาท้องถิ่นชาวอะบอริจินละมั้ง มันคืองานกาชาดขอนแก่นดีๆ นี่เอง แต่เน้นเครื่องเล่นอลังการ หวาดเสียว เยี่ยวแตก เป็นหลัก จัดที่เดิมคือสองฝั่งริมแม่น้ำยารา พวกเรามาตอนเย็นเพราะตื่นกันซะบ่าย ในงานนอกจากมีเครื่องเล่นเยอะแล้วยังมีของกินและดนตรีหลายวง พวกเราเลยได้ไปนั่งหย่อนตูดหลายที่ ฟรีทั้งนั้น ชอบมาก :) พอฟ้ามืดก็ได้เวลาผจญภัยกันแล้ว เริ่มตั้งแต่ซุ้มปาเป้า นั่งชิงช้าสวรรค์ ขี่รถแข่ง และขึ้นเครื่องเล่นเยี่ยวราด เพื่อเอาไอ้ที่ทานไปเมื่อตอนเย็นออกมาให้หมด (พูดเล่นนะไม่กล้าทำจริงหรอกเสียดายของ) ที่เราชอบมากคือขึ้นชิงช้าสวรรค์ ไม่ใช่เพราะแก่แล้วไม่ผาดโผนนะ แต่ชอบดูวิว โห~~~เมลเบิร์นยามกลางคืนนี้สวยจริงๆ ไฟประดับอาคารและสวนทำให้เมืองมีเสน่ห์ไปอีกแบบนึง คือเงียบ สงบ สวยงาม และเป็นผู้ดี เหมือนชมผู้หญิงยังไงก็ไม่รู้ ชิงช้าสวรรค์ที่นี่ให้นั่งหลายรอบดี คุ้มเงินมาก นั่งเสร็จลงมาดูโชว์จุดพลุ กลางแม่น้ำ โห~~ ถ้าไอ้จอร์จมันมาเห็น คงต้องตะโกนว่าพระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันสุดยอดมากซาร่าห์ พวกเราเกิดมาเพื่อดูสิ่งนี้ พลุสวยคนละเรื่องกับวันชาติเลย ตื่นเต้น ลูกเล่นแพรวพราว มีเยอะมาก และจุดเป็นชั่วโมง ช่างต่างกันราว BTS กับ MRT ดูพลุจนน้ำหูน้ำตาแตก หูหนวก ใบ้กินกันไปพักใหญ่ กลับมาถึงบ้านแบบงง งง


เวทีหลักเป็นการประกวดนางนพมาศ หนุ่มๆ ดูตรึม


เวทีที่สอง เวทีมวย ส่วนเวทนี้สาวๆ ตรึมกว่า

ส่วนสุดท้ายเป็นลานอาหาร อันนี้พวกเราชอบมาก ถึงมากที่สุด

เพราะมีขนม อาหารไทยที่หากินยากเพียบเลย แต่แอบแพงนิดนึง


ปิดท้ายด้วยรูปนี้ Reunion ผีจากดินแดนถิ่นราบสูงเหมือนกัน ระหว่างผีตาโขนกับผีทะเล



เปลี่ยนบรรยากาศงานเทศกาลฝรั่งมางานบรรยากาศไทบ้านบ้าง เอ้ย ~~~ แบบไทย ไทยบ้าง คือ งานอาหารและวัฒนธรรมไทย (Thai Food and Festival) จัดที่ Federation Square ตรงข้างริมแม่น้ำเจ้าเดิมนี่แหละ แบ่งงานเป็นสามโซนคือโซนเวทีกลางมีพวกนาฎศิลป์ รำไทยเดิม ไทยประยุกต์ ไฮไลท์ก็คือการประกวดนางนพมาศ เวทีที่สองคือเวทีมวย โห อันนี้เจ๋ง เอามาฝรั่งมาตีกัน แล้วมันตีกันแบบเอาตาย ปากแตก จมูกฉีก เลือดกระจายบนเวทีกันเลย คนเชียร์ก็ซาดิสต์ เชียร์กันเป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะสาวๆ มาเวทีนี้ตรึมเพราะนักมวยแต่ละตัว แมร่งหล่อโคตรพ่อ เวทีสุดท้ายคือเวทีอาหารและของมึนเมา นี่แหละของโปรด ไปเวทีนี้ก่อนเลย โดยเฉพาะเบียร์สิงห์มาเปิดบูธและเล่นดนตรีสด โหบรรยากาศเหมือนกินเบียร์อยู่หน้าเซนทรัลเวิร์ลคูณสองเลยอะ เพราะมีสาวๆ นานาชาติแต่งตัวกันแบบเปิดเผย มาเดินโชว์ความขาวกันละลานตาไปหมด (โอย ขอทิชชูหน่อยเลือดกำเดาไหล) งานนี้จัดทั้งวัน ไม่น่าเชื่อเลย ไอ้น้องที่มันเป็นสต๊าฟในงานเล่าให้ฟังว่าแต่ละวันมีคนมาเป็นหมื่น มองไปอีกรอบ เออ! กูเชื่อละ แมร่งดูป้ายสปอนเซอร์ดิ เยอะยิ่งว่างานไหมผูกเสี่ยวบ้านกูอีก


สถานที่จัดงาน Collingwood Town Hall มางานซะหัววันเลยตู

สาวๆ รำถวายพระพร งามแต้ๆ

ดื่มถวายพระพร


ปิดท้ายด้วยงานบันเทิง มีดนตรี วง Outsider (เพลงใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย, ทิ้ง ค่าย RS)
เป็นวงเปิด ตามด้วย วงฟอร์เอฟเวอร์ แต่ละวงแมร่ง...สมวัยกรูจริงๆ

ปิดท้ายด้วยงานเทศกาลดีๆ ที่ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างคือ งานวันพ่อ (King Birthday Anniversarites) ปีนี้ไปจัดกันนอกเมืองถึง Collingwood Town Hall โน่น ต้องดูแผนที่ เสิร์ฟเน็ท วางแผนการเดินทางกันอย่างดี เพราะไม่เคยไปแถมบอกเป็นงานกาลาดินเนอร์อีก ไปสายคงได้อายชาวบ้านอีก สุดท้ายที่ไหนได้นั่งรถไฟจากสถานี Flinder แค่สิบห้านาทีถึงแล้ว แถมออกจากสถานีรถไฟ Collingwood ปุ๊บเจอ Town Hall กระแทกหน้าแบนๆ ปั๊บ สรุปว่ารั่ว มาตั้งแต่ไก่โห่ อายกว่าเดิม แถมแต่งตัวหล่อซ้า ใส่เสื้อนอกเต็มยศแต่อากาศตอนหกโมงเย็นเมืองนี้เสือกมีแดดจ้าและร้อนโฮกยังกับบ่ายสามโมง กว่าประตูจะเปิดก็หกโมงครึ่ง รอไปซิ เหงื่อแตกยังกับกรรมกร เข้าไปในงานค่อยยังชั่วหน่อย คนไทยตรึม เสียงคุยกันโช้งเช้งเหมือนอยู่ตลาดยิ่งเจริญ อาซ้อ อาเฮีย อากู๋ เมาส์กันซ้า แบบนานๆ ทีได้เจอเพื่อนคนไทยเป็นฝูงขนาดนี้ งานเป็นทางการช่วงแรกๆ กงศุลพูดสดุดีในหลวง พวกเราร้องเพลงสดุดีมหาราชา ดื่มถวายพระพร จุดเทียนชัย ดู Utube ตอนท่านเสด็จออกมหาสมาคมเมื่อวันที่ห้า แล้วก็รำถวายพระพร จากนั้นก็ได้เวลากินและดูการแสดง ยิ่งช่วงหลังๆ ยิ่งเลอะเทอะ มีทั้งคาร์บาเร่ย์ไปจนถึงดันดารา กินอิ่มกลับละ ก่อนที่จะทนไม่ไหว ไม่ใช่วิ่งเต้นประกวดดันดารากับเขานะ แต่เห็นบาร์เหล้าและเบียร์สิงห์ล่อตาล่อใจอยู่อีกด้านนึงของงาน กลัวจะวิ่งไปหามันแล้วกลับบ้านไม่เป็นหน่ะสิ

~~~~~~@@@@@@@@@~~~~~~~

 
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
  Welcome party: Melbourne Episode 2
Monday 30 November 2009, Melbourne

กลับมาเรียนต่อที่เมลเบิร์นอีกครั้ง หลังจากสอยปริญญาตัวแรกของที่นี่ไปแล้ว มีเป้าหมายต่อไปว่าจะสอยอีกปริญญาในสามปีข้างหน้า เรามาถึงเมลเบิร์นถึงตอนใกล้เที่ยงวันที่ 16 นอกจากย้ายไปเรียน Research แทน Coursework แล้วยังต้องย้ายบ้านอีกด้วย อาทิตย์แรกเลยหมดเวลาไปกับเรื่องบ้านจนไม่ได้ทำอย่างอื่น เรื่องบ้านสำหรับนักเรียนหัวดำอย่างเรานี่เรื่องใหญ่เพราะต้องหาบ้านที่ใกล้โรงเรียนเพื่อประหยัดค่ารถ ต้องใกล้เมืองเพราะไม่ชอบเหงา ต้องใกล้ร้านค้าและตลาดเอเชียเพราะเบื่อกินแต่อาหารฝรั่ง และที่สำคัญคือต้องถูกเพราะจน ซึ่งปรากฏว่าแทบเป็นไปไม่ได้เพราะบ้านที่อยู่ในโลเคชั่นแบบนี้ ค่าเช่าแพงยิ่งกว่าทอง (แต่ตอนนี้ไม่แน่นะ เห็นว่าทองเมืองไทยทะลุบาทละหมื่นแปดไปแล้ว)




ลักษณะภายนอกและภายใน

ห้องพักราคาถูกคุณภาพดี ห้องที่ 7 ถนน Cardigan ใกล้มหาวิทยาลัย เดินแค่ห้านาทีถึงละ

แต่คงเพราะมีบุญเก่าเลยโชคดีมีเพื่อนนักเรียนด้วยกัน Offer ห้องรับแขกให้เป็นห้องนอน ในราคาแสนถูก แค่เดือนละ 550 เหรียญรวมบิลน้ำ ไฟ แก๊สและเน็ต ได้ฟังแล้วขนลุกรีบตะครุบเอาไว้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเลย เพราะนอกจากมีโลเกชั่นตรงตามที่บอกแล้วราคาถือว่าถูกมาก (นึกถึงหอพักหลังเก่าแล้วเสียดายเงิน จ่ายค่าห้องเดือนละ 1,050 เหรียญไม่รวมบิล คูณสามสิบบาทเอานะเพื่อนๆ ตรูจ่ายไปได้ไงวะเนี่ย) กลับมาเข้าเรื่องคือ พอจัดห้องเสร็จก็ได้เวลาไปงานปาร์ตี้ต้อนรับกลับเมลเบิร์นหน่ะสิ ทำให้อาทิตย์แรกชีวิตดีมากเพราะกินฟรีแทบทุกเย็น พี่ๆ น้องๆ เพื่อนน่ารักมากมาย บ้างก็พาทานที่ร้าน บ้างก็ทำอาหารให้ทาน ไม่เว้นวันพระวันโกน ขอยกเอาสองปาร์ตี้มาสรรเสริญถึงกลุ่มเพื่อนตัวอย่างคือ เพื่อนคนไทยที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และเพื่อนต่างชาติที่โรงเรียนภาษา (ยังมีอีกหลายเพื่อนคือ เพื่อน Roommate เก่า, Housemate ใหม่, เพื่อนนักเรียนปอโท, เพื่อนที่ร้านอาหาร, เพื่อนเล่นกีฬา โอ้ยปาร์ตี้เมาปลิ้นทุกคืน)




Rich (เสื้อแดงสวมผ้ากันเปื้อน) พ่อครัวมหัศจรรย์ ทำอาหารสไตล์โปแลนด์ให้พวกเราทาน อร่อยโคตร





อาหารแบบโปแลนด์ (ซ้าย) มันฝรั่งราดแกงกะหรี่ไก่ (ขวา) แคปซิคัมยัดใส้เนื้อแกะบดแล้วราด Toping ด้วยเห็ดย่าง



บรรดา Kitchen hand แต่ท่าทางจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ทำให้พ่อครัววุ่นกว่าเดิมมากกว่า


งานแรก มีครอบครัวพี่จิตรและ Richard เป็นเจ้าภาพ พิเศษคือ Rich (ชื่อเล่นเป็นมงคลมาก.....กกกก) ทำอาหารสไตล์โปแลนด์ (Poliska Food) งงอะดิ นึกภาพไม่ออกเลยใช่มะ ไม่เป็นไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน Rich เข้าครัวทำอาหารล่วงหน้าสองวันสองคืนเพราะขั้นตอนการทำละเอียดและซับซ้อนมาก Entree เป็นแผ่นมันฝรั่งบดผสมกับครีมอะไรก็ไม่รู้เลยออกมาเป็นสีเทาดำ แล้วตบเป็นแผ่นเท่าฝ่ามือเอาไปย่างให้เกรียมนิดหน่อย เวลาทานราดซาวน์ครีมและเกลือเล็กน้อย อร่อยดี นุ่มๆ หยุ่นๆ กรอบๆ Main course มีสามอย่างคือ เนื้อแกะสับปรุงรสยัดใส้ในแคปซิคัม (พริกหวานสีเขียว) โรยด้วยเห็ดสีดำย่าง อย่างที่สองคล้ายกับสปาร์เก็ตตี้แต่เป็นมันฝรั่งบดผสมแป้งทำเป็นก้อนเล็กๆ ลวกน้ำร้อน แต่เหนียวและหยุ่นกว่าเส้นสปาเก็ตตี้เยอะ ราดด้วยน้ำแกงคล้ายแกงกระหรี่ไก่ (รายการนี้แหละใช้เวลาทำนานที่สุด) และสลัดเพื่อมาเบรกอาหารพวกเนื้อ ตบท้ายด้วย Dessert ดื่มชาร้อนแบบอินเดีย Chai tea กับ Brownie ล้างปาก



ทีมนักร้องนักดนตรี สู้ตายคร๊า..........




ทีมนักจั่ว (ไพ่ UNO) ก็สู้ตายเหมือนกันคร๊าบบบบบบ



คุยกันจนอิ่มใจแล้วชวนกันเล่นไพ่อูโน่ (UNO) และร้องเล่นกันเพลินถึงเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับกลับบ้าน ปาร์ตี้งานนี้อบอุ่นเหมือนทำอาหารทานที่บ้านเพราะมีแต่คนไทยส่วนใหญ่ คุ้นเคยและเป็นกันเอง



ปาร์ตี้กับเพื่อนนักเรียนภาษาที่ร้านอาหารเกาหลี Goo Wa แถวตลาด Queen Victoria Market

ส่วนปาร์ตี้ที่สองเป็นหน้าที่ของเพื่อนสมัยโรงเรียนภาษาที่ Hawthorn พวกเราทั้งหมดเป็นกระเหรี่ยงเอเชียที่มาเรียนภาษาด้วยกันเมื่อพฤษภาคมสองปีที่แล้ว และตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปเรียนตามคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ไปทานกันที่ร้านอาหารเกาหลี คล้ายกับร้านเนื้อย่างบ้านเรานี่เอง แต่อยู่นี่หาทานไม่ง่ายเหมือนบ้านเรา (เห็นหรือยังว่าบ้านเราอุดมสมบูรณ์กว่าเห็นๆ) แถมกินให้ห้องแอร์อีก กินเสร็จหัวเหม็นข้ามวันข้ามคืน ส่วนที่บ้านเรากินกลางแจ้ง อากาศดี ปลอดโปร่งดีจะตาย เอาหล่ะมัวแต่บ่น มาดูวิธีการกินของร้านนี้ดีกว่า ด้วยความที่เจ้าของเป็นชาวเกาหลี เขาจึงพยาย๊าม พยายามจะรักษารสชาติและวิธีการกินแบบดั้งเดิมไว้ มีทิปนิดนึงคือ ส่วนใหญ่เจ้าของร้านอาหารนานาชาติ (หมายถึงต่างชาตินอกจากอาหารฝรั่งและออสเตรเลีย) เจ้าของมักจะเป็นคนจีน รวมไปถึงร้านอาหารไทยหลายร้านเจ้าของก็เป็นคนจีนด้วย เพราะฉะนั้นเข้าไปในร้านก็จะได้ทานอาหารไทยสไตล์จีน รสชาติแปลกๆ แถมคนเสิร์ฟก็เป็นคนจีนแต่พยายามเอาใจพูดไทยกับเรา รู้สึก พิกล สรุปว่าพอคนจีนเป็นเจ้าของร้านอาหารชาติอื่น มันไปลงที่ทำให้อาหารชาตินั้นเพี้ยนไปเยอะ ดังนั้นหลายคนเลยเบื่อ ยอมจ่ายแพงไปกินร้านต้นตำรับดีกว่า ซึ่งรวมถึงร้าน Goo Wa ที่เราไปทานด้วย


Side dish สารพัดผักดองเกาหลี


พนักงานเสิร์ฟสาวเกาหลีแสนใจดีมาช่วยตัดเนื้อให้พวกกระเหรี่ยงหลังเขาทาน



เมื่อสั่งอาหารแล้ว เขาจะเอา Side dish คือเครื่องเคียงได้แก่ กิมจิ ผักดองสาระพัดแบบ และน้ำจิ้มงา (จืด) กับน้ำจิ้มพริกแดง (เผ็ด) มาพร้อมกับข้าวคนละตลับ (ไม่ได้เรียกผิดนะ ใส่มาเป็นตลับสเตนเลสเชียว) จากนั้นเตาย่างก็มาพร้อมกับวางเนื้อติดซี่โครงชิ้นยักหญ่ายบนเตาปิ้ง เวลาทานเขาจะให้เราสั่งเนื้อว่าสนใจอยากกินตรงไหนของวัว (หรือหมู) เช่น สันคอ ท้อง สะโพก หรือ น่อง แล้วจะหั่นมาเป็นชิ้นใหญ่มาย่าง พอสุกให้เราตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ทานเอง แต่ร้านนี้ใจดี มีพนักงานมาช่วยตัดเนื้อให้ คงเห็นหน้ากระเหรี่ยงแบบพวกเราแล้วคาดว่าพวกนี้กินแบบไฮโซไม่เป็นแน่นอน เลยต้องมาบริการ อีกมุมก็ตั้ง Hot pot เป็นกระทะเหมือนเอ็มเคสุกี้ แต่ใส่อาหารและน้ำซุปปรุงรสมาพร้อม ตั้งไฟให้เดือดตักทานได้เลย อีกเมนูคือหมูบุโกกิ สไลด์เป็นชิ้นบางๆ แต่แผ่นใหญ่หมักกับซอสพริกบ้านเขาแล้วเอาไปรวนในพริกแกงพอเนื้อเด้งๆ แล้วตักใส่แผ่นกระทะร้อนมาเสิร์ฟ ถ้าใครชอบเผ็ดเมนูนี้รับรองถูกปาก เวลาทานก็ไปแย่งเนื้อย่างของเพื่อนกิน เอ้ยไม่ใช่ เอากิมจิ ผักดองและน้ำจิ้มทั้งสองอย่าง ใส่ลงในจานแล้วตักข้าวสวยจากตลับไปคลุกให้เข้ากัน แล้วตักทานสลับไปกับเนื้อย่างและ Hot pot อร่อยเลิศ ปาร์ตี้นี้เหมือนสมัยเรียนปอตรีเพราะสดชื่น ครึกครื้นดี


Hot pot



Pork Bung Ko Ki ใส่มาในกระทะร้อนรูปหมู น่ากินมาเชียว



ไปๆ มาๆ รีวิวรอบนี้กลายเป็นครูกุ๊ก พาอรินทร์ทานอาหารนานาชาติซะแล้ว คาดว่าไม่พ้นปีใหม่นี้จะกลับไปกลมกลิ้งน่ารักเหมือนสมัยก่อนแน่นอน อุตส่าห์ไดเอทตอนอยู่บ้านตั้งนาน จะกลับมาอ้วนอีกรอบก็ตอนเรียนที่นี่แหละ เฮ้อ! ทุขลาภของคนวันสามสิบห้าจริงๆ




~~~~~~~~~@@@@@@@~~~~~~~~~~~

 
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552
  Remind of the day # 2
วันที่สอง พฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2552




ศิษย์เก่า แต่หน้าแก่เท่าอาจารย์


วันนี้มีโปรแกรมหลายแห่ง เริ่มต้นเดินเล่นรอบเมืองและไปแวะโรงเรียนเก่าก่อน หาอะไรทานที่ตลาดและแวะไปเยี่ยมเพื่อนสมัยประถมที่เปิดร้านค้าในตลาดด้วย กลับห้องมาอาบน้ำดูทีวีรอโหน่ง ศุภลักษณ์มารับไปทานข้าวกลางวันกัน วันนี้นัดทานกันที่ร้านอาหารหน้าวิทยาลัยสารพัดช่าง ซึ่งเป็น Office ของดาว ปาลิดา เพราะดาวจะได้ออกมาทานข้าวด้วยกันและกลับไปทำงานตอนบ่ายต่อได้ มื้อกลางวันนี้มีเพื่อนมาทานด้วยกันสี่คนคือ หนึ่ง ดาว โหน่งและเอ๋ (อัญชลี) ส่วนต่าย เนตรนภาและ หนึ่ง สุภาวดีมาไม่ทัน แม้อาหารไม่อร่อยแต่คุยกันสนุก โดยเฉพาะการอัพเดทเรื่องของเพื่อนๆ (ดูรายละเอียดใน blog "Time of yore") มีเซอร์ไพร้คือโหน่งโทรไปหาท๊อฟฟี่ อัญญมณี (มือวางอันดับหนึ่งของห้องเราที่มีครอบครัวก้าวหน้ากว่าทุกคนในห้อง_แต่งงานก่อนเพื่อนแถมมีลูกสามคน โตเป็นวัยรุ่นกันหมดแล้ว) ซึ่งโหน่งก็ไม่ได้คุยกับท๊อฟฟี่นานมากๆๆๆๆๆ แล้ว คงด้วยแรงคิดถึงหรืออย่างอื่นก็ไม่รู้ ทำให้โทรติดต่อกันได้ ท๊อฟฟี่เสียงหัวเราะสดใสเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม อารมณ์ดีม๊ากมาก คาดว่ากิจการค้าขายที่เขาช่องคงก้าวหน้าสุดยอด แถมฝากชวนเพื่อนแวะไปเยี่ยมเธอที่เขาช่องด้วยนะ โหยตอนนี้ใกล้หน้าหนาวแล้ว เขาช่องคงสวยน่าดู อิจฉาฟี่เลยอะ

เอ๋ หนึ่ง และโหน่ง ที่ร้านบ่แซบเลย

แยกย้ายจากเพื่อนตอนทานกลางวันแล้วเลยแวะไปหาต่าย เนตรนภาที่ ศกว วันนี้มีนักเรียนมอปลายมาสอบเอ็นทรานซ์กันเพียบ เรียกว่า GAT, PAT ซึ่งเราก็แก่เกิ๊นไม่รู้ความหมายมันหรอก เรื่องดีที่สุดวันนี้คงเป็นเรื่องที่เราได้ไปสวัสดีอาจารย์แม่ อ.พจนีย์ วานิช อาจารย์โฮมรูมห้องหกทับสามรุ่นแปดสิบของพวกเรา ซึ่งต่ายพามาได้เวลาเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงคณาจารย์กำลังจะทานข้าวกลางวันพอดี (เสร็จโจร) เลยได้ทานข้าวฟรีกับอาจารย์หลายๆ ท่าน เช่น อ.ผ่องพรรณ (ภรรยา ผอ.ศกว คนปัจจุบัน) อ.ประเทือง (สอนวิชาแนะแนว) อ.ทิพาพร (สอนภาษาอังกฤษ) อ.อำพัน สลักคำ และอีกมากมาย ดูรูปเอานะ อิจฉาใช่ปะหล่ะ อิ อิ อิ

อาจารย์พวกเราสวยคงกระพันทุกท่านเลย


อ.พจนีย์ จำพวกเราได้เก่งมากๆ พูดถึงใครแกก็จะเล่าถึงพวกเราสมัยเรียนให้อาจารย์ท่านอื่นได้ฟังด้วย อันนี้ก็แล้วแต่บุญเก่านะครับ ใครน่ารักก็ดีไป ใครน่าเตะก็อายไปเหมือนกัน อันนี้เป็นเบอร์ของอาจารย์นะ 086 720 8810 เพื่อนๆ ลองหาโอกาสโทรศัพท์ไปกราบสวัสดีแก ในโอกาสสำคัญบ้างคงจะดี ท่านคงดีใจมากที่พวกเรายังจำแกได้ ปิดท้ายด้วยการถ่ายรูปกันซักหน่อย โหยมีความสุขจังเลยเพื่อนๆ อยากให้มาอยู่ตอนนี้ด้วยกัน ก่อนกลับ อ.ต่าย ใจดีพาทัวร์รอบโรงเรียน เลยได้ภาพถ่ายอาคารต่างๆ มาฝากเพื่อนมากมาย (ติดตามในหัวข้อต่อไปนะ) แยกจากต่ายแวะไปหาหนึ่ง สุภาวดีที่สำนักงาน การศึกษานอกโรงเรียน เห็นว่าที่นี่มีเน็ตฟรีให้เล่นและแรงปู๊ดได้ใจ แต่ทำไมหนึ่งทำหน้าเซ็งๆ หว่า อ้อ! Server เจ๊งนี่เอง เลย log in ไม่ได้ เอ่อ อันนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้นะครับ


ศาลเจ้าพ่อชุมพลวิเศษ

แดดร่มลมตกเกิดอยากเดินเล่นรอบเมืองซักหน่อย ถือโอกาส Survey เมืองศรีสะเกษยุคพัฒนาและแวะไปหาเพื่อนไปด้วยพร้อมๆ กัน เริ่มต้นที่ร้านไทยเซ็นทรัล ของเฮียสิ่ว ปรมินทร์ เห็นกำลังนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว (อ่านการ์ตูนอีกแน่ๆ) อยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งเหมือนเดิม (ตอนที่มาเยี่ยมคราวที่แล้วเมื่อห้าปีก่อน) สิ่วใจดีให้ฟิล์มไปอัดภาพพวกเราสมัยเรียนและจะแสกนภาพพวกเราตอน Meeting งานต่างๆ ไปให้ โหยได้เห็นภาพแล้วจะร้องให้ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว (แก่ได้อีก) แล้วเราจะทยอยใส่ไว้ในบล็อกนี้ให้เพื่อนได้ชมนะ

อาคารใหม่ ศาลาประชาสัมพันธ์ เป็น Hall of frame และ ห้องรับแขกของโรงเรียน


จากนั้นก็เดินไปห้างซุ่นเฮง ห้างไฮโซหนึ่งเดียวใจกลางเมืองศรีสะเกษ แวะไปที่ร้านซีเอ็ดชั้นสองก่อนเลย เพราะจะไปทักภาณุวัฒน์ แต่ไม่มีพนักงานคนไหนรู้จักซะนี่ อ้าว! แล้วไงต่อละหล่ะ ตู อ้อเรามีตัวช่วยคือ อ้าน ลำพัน นั่นเอง..... ว่าแล้วก็ลงไปแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ต มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นใครหน้าเหมือนอ้านซักคน (หน้ากลม ผมหยิกหยอย ขอโทษนะอ้าน ก็ห้าปีที่แล้วจำได้อย่างนี้นี่หว่า) เอ๊ะ! หรือจะหนีตามกันไปแล้ว (ล้อเล่นนะ) เลยถามพนักงานแถวนั้นดู เขาบอกให้กลับหลังหันแล้วจะเห็น ประมาณว่าถ้าอ้านเป็นงู คงจะฉกเอ็งตายไปแล้ว ไอ้เซ่อ! บัดนั้นเอง... อ้าน ครับพี่น้อง กำลังทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น ไม่สนใจใครทั้งนั้น สมเป็นพนักงานตัวอย่างของห้างสุดหรูแห่งศรีสะเกษซิตี้ แล้วหันมามองหน้าเราแว๊บนึง แล้วทำงานต่อ แต่คงนึกขึ้นได้ว่าลูกค้าที่ไหนจะมาวีนกูหรือเปล่าวะ เลยเงยหน้ามองอีกทีพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ (แต่ยังจำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร)

1…

2….

3…..

ปิ๊ง!

“เอ้ย~~~ 55555” นี่คือคำทักทายคำแรกของคุณลำพันครับพี่น้อง


สรุปว่าจำเพื่อนได้แล้ว เลยคุยใหญ่เลยและลืมลูกค้าไปเลยเช่นกัน อืมม์ .... พนักงานดีเด่น T^T
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปอ้านมาอวดเพราะ จนท ของห้างไม่ยอมให้ถ่ายรูปในห้าง ว้า อดกัน~~~ แต่เป็นเอาว่า เธอผอม แบน (หมายถึงลำตัวนะ อย่าคิดมาก) ผมยาวเหยียดตรงปิดใบหน้าไปหนึ่งในสาม เทรนด์ดาราเกาหลีตัวพ่อ ส่วนภาณุวัฒน์ย้ายไปทำงานที่ กทม แล้วแต่ไม่มีเบอร์ติดต่อ ว้า (รอบสอง) เสียดาย~~~ หลังจากกวนประสาทเพื่อนจนอิ่มใจแล้ว ก็เลยแวะไปซื้อนมกับขนมปังปิ้งไปเซ่นสองสาว ดาว และ หนึ่งที่ร้านยา


ทานอาหารนอกบ้าน ไฮโซที่สุด


วันนี้ทานข้าวนอกบ้านอีกแล้ว ไฮโซเช่นเคย ปูเสื่อบนฟุตบาทหน้าร้านแล้วเริ่มกินเตี๋ยวอย่างหิวซก คืนนี้มีเอ๋ พิมลทิยาและแฟน ต่าย และ สิ่วมาแจมด้วย และแล้ว การนินทาเพื่อนก็เริ่มอย่างเป็นทางการ โดยการไล่ชื่อเลขที่กันครบทุกคนเลย พวกเราสามารถอัพเดทเพื่อนๆ ได้เกือบหมดแต่มีอยู่หลายคนอะ ที่จนปัญญาเพราะไม่รู้ข่าวคราวเลยคือ โอ๋ นพดล มนัส มะณู แจ๊ส ดารารัตน์ ลงกรณ์วิทยา ศักดิ์สยาม เป็นต้น ใครที่มีเบาะแสช่วยแจ้งเราด้วยนะ เพื่อนๆ ให้อภัยแล้วกลับมาเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าพวกเราคุยแต่เรื่องไร้สาระ ท้ายสุดตอนจะแยกกันกลับบ้านนี่แหละ เฮียสิ่วกับครูต่ายเกิดไอเดียอยากทำธุรกิจระหว่างประเทศขึ้นมา แล้วไอ้พวกที่นั่งฟังอยู่รับลูกซะนี่ เลยคุยกันซีเรียส เป็นเรื่องเป็นราวมากๆ คาดว่าถ้าทำสำเร็จคงเป็นธุรกิจของรุ่นเราได้ คุยกันลากยาวไปจนเที่ยงคืนค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน

ปรัชญาโรงเรียนที่ตึกหนึ่ง ฝั่งห้องวิชาการ

สุดท้ายแล้ว ได้กลับมาศรีสะเกษอีกครั้งในรอบห้าปีนี้มีความสุขดีจริงๆ เพราะได้เจออาจารย์ เพื่อนๆ หวนรำลึกถึงวันเก่าๆ และได้เพื่อนใหม่ (พี่หมู เด็กน้อยอนุบาลเพื่อนบ้านหนึ่ง สุภาวดีที่เรียกเราว่า น้องหนึ่งอยากเต็มปากเต็มคำ น่ารักมาก ใครสอนให้พูดเนี่ย) ทำให้ได้กำลังใจพร้อมสำหรับไปเรียน คาดว่าอีกสามสี่ปีข้างหน้าคงได้มาเจอเพื่อนๆ อีกในงานคืนสู่เหย้า 100 ปี ศกว ในปี 2555 นะ

Cheers~

~~~~~@@@@@@@@@~~~~~
 
ติดตามข่าวคราวอัพเดทของเพื่อนเก่าห้อง 6/3 ศรีสะเกษวิทยาลัย รุ่นที่ 80

ภาพถ่ายของฉัน
ชื่อ:
ตำแหน่ง: Melbourne, Victoria, Australia

HIPPO is crazy architect student. I was born at E-sarn so my snout so flat within the square face, and shape angle chin but so sadly that I roughly bad on speaking Laos. I believe that eating "Pla Dake" everyday will increase my native language skill, that's why i'm really enjoy eat Som Tum Laos everyday. Currently, I'm doing post graduated course at school of ABP, Melbourne University. I found that one of the best way to made myself overcome the lonely moments at here is joining Blogger because it is very easy way that available me to keep in touch with u guys. I wish, at lease 3 years at one of most world liveable city, will be both enrich and reward my life and study. U r welcome to survey my small world and also to catch up u soon. Cheer :)

คลังบทความ
กรกฎาคม 2009 / สิงหาคม 2009 / กันยายน 2009 / ตุลาคม 2009 / พฤศจิกายน 2009 / ธันวาคม 2009 / มีนาคม 2010 / เมษายน 2010 /


Powered by Blogger

สมัครสมาชิก
บทความ [Atom]